เงาปีกเหนือทุ่งโพธิ์ทอง กระหังผู้บินยามราตรี

เงาปีกเหนือทุ่งโพธิ์ทอง กระหังผู้บินยามราตรี

 

กลางคืนของหมู่บ้านโพธิ์ทอง...

ไม่มีใครกล้าออกจากบ้านหลังพระอาทิตย์ตกดิน...

เพราะทุกครั้งที่ฟ้าปิดสนิท...
จะมีเสียง วืด... วืด... ดังมาจากฟากฟ้า —
เหมือนเสียงปีก... ของอะไรบางอย่าง

ผู้เฒ่าผู้แก่พูดกันว่า...
นั่นคือ “กระหัง” — ผู้ต้องคำสาปแห่งเวทดำ
มันบินออกหากินกลางคืน กินของสกปรก และดูดกลืนแสงไฟจากตะเกียงบ้าน

หลายคนอ้างว่าเคยเห็น... เงาดำมีปีกกางอยู่เหนือทุ่งนา
บางคนได้ยินเสียงกระซิบข้างหู... ก่อนจะล้มป่วยไม่รู้สาเหตุ

และคืนนี้...
เสียงนั้น... กลับมาอีกครั้ง

[เสียงหมาเห่าไกล ๆ / เสียงปีกกระพือเบา ๆ]

ไม่มีใครรู้ว่า มันคือคน หรือสิ่งใดกันแน่...

แต่เรื่องราวทั้งหมดนี้...
เริ่มต้นจากเด็กสาวคนหนึ่ง ที่ไม่เชื่อในคำเล่าลือ
และเลือกจะ “ตามหาความจริง”

...ในยามที่เงาปีกแห่งรัตติกาล กำลังแผ่ปกคลุมหมู่บ้านทั้งหมู่

กลางคืนในหมู่บ้านโพธิ์ทอง ลมมันพัดเอื่อย ๆ เสียงจิ้งหรีดร้องอยู่ข้างคันนา แสงตะเกียงในแต่ละบ้านส่องสลัว ๆ เหมือนจะดับอยู่ทุกเมื่อ
คนเฒ่าคนแก่เขาว่า ช่วงนี้มันมีของไม่ดีแอบบินวนอยู่แถว ๆ ทุ่ง ชาวบ้านเลยพากันรีบปิดประตูบ้านตั้งแต่หัวค่ำ

แนน เด็กสาววัยสิบหก ปีนี้เพิ่งจบมอสาม เธอเป็นคนซุกซน ชอบเรื่องลึกลับ วันหนึ่งตอนค่ำ ๆ นั่งกินข้าวกับแม่ แม่ก็พูดขึ้นว่า
"แนน เอ็งอย่าออกไปไหนตอนกลางคืนนะ เขาว่ามีกระหังมันบินอยู่แถวนี้ เห็นว่าบ้านท้ายหมู่โน้น ไก่หายไปหลายตัวแล้ว"

แนนหัวเราะเบา ๆ แล้วตอบแม่
"แม่เอ๊ย... เดี๋ยวนี้ยุคไหนแล้ว ยังจะมีกระหังอีกเหรอ ของพวกนั้นมันแค่เรื่องเล่า"

แม่มาลีมองลูกสาวด้วยสายตากังวล
"จะเรื่องเล่าหรือเรื่องจริงก็อย่าไปลองของ แม่ไม่อยากให้เอ็งเป็นอะไร"

คืนนั้น พอแม่เข้านอน แนนยังนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นแสงไฟวับ ๆ แวม ๆ อยู่ท้ายหมู่บ้าน
เธอคิดในใจว่า... นั่นมันบ้านลุงเพียร ชายแก่ที่อยู่คนเดียว ไม่มีเมีย ไม่มีลูก
คนในหมู่บ้านลือกันว่า ลุงเพียรเป็นกระหัง เพราะแกมักออกจากบ้านตอนดึก ๆ แล้วเช้ามาก็กลับมาเต็มไปด้วยโคลน

เสียงหมาเห่าขึ้นจากหลายบ้าน
"โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง!"
แล้วอยู่ ๆ ก็มีเสียงวืด... เหมือนอะไรบินผ่านเหนือหลังคาไป แนนสะดุ้ง หัวใจเต้นแรง

เธอคว้าไฟฉายแล้วค่อย ๆ เปิดประตูบ้านออกไป เห็นทุ่งข้าวสั่นไหวตามแรงลม
แต่เสียงนั้น... ยังดังอยู่ เหมือนปีกอะไรบางอย่างกำลังตบอากาศอยู่เหนือหัว

เธอแอบเดินไปจนถึงลานบ้านลุงเพียร ไฟในบ้านดับหมด เหลือแต่แสงจันทร์ขาวนวล
กลางลานมีเงาคนยืนอยู่ ลุงเพียรยืนถือหม้อดินไว้ในมือ ข้าง ๆ มีคันกล้วยวางพาดเหมือนปีก
เขาพึมพำอะไรเบา ๆ เหมือนสวดคาถา

แล้วอยู่ ๆ แสงวาบจากหม้อก็พุ่งขึ้น ลุงเพียรชูมือขึ้นเหนือหัว
เงาปีกสีดำใหญ่กางออก เสียงดังวืด ๆ เหมือนนกยักษ์
ขนลุกไปทั้งตัว แนนยืนตัวแข็งพูดไม่ออก

แสงจันทร์สาดต้องเงานั้น เห็นหน้าไม่ชัด แต่ได้ยินเสียงคล้ายคนครางเบา ๆ
"ข้า... ยังไม่อยากตาย..."

จากนั้นเสียงปีกก็กระพือแรงขึ้น ลุงเพียรหรืออะไรก็ตาม มันค่อย ๆ ลอยขึ้นจากพื้น
ข้าวในทุ่งเอนไปตามแรงลม หมาที่เห่าก็เงียบไปทันที

แนนรีบหมอบลงหลังคันนา ใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก
เธอเห็นมันบินหายไปทางป่าด้านหลังหมู่บ้าน ทิ้งไว้แค่ลมเย็นยะเยือก กับกลิ่นคาวบางอย่างลอยตามมา

รุ่งเช้า ชาวบ้านแตกตื่นกันใหญ่
มีคนบอกว่าไก่ในเล้าหายไปอีกหลายตัว เหลือแต่ขนกระจายเต็มพื้น
ผู้ใหญ่จันทร์มาประกาศหน้าวัด
"คืนนี้ทุกบ้านห้ามออกจากบ้าน ถ้าเจอเงาอะไรบิน ให้ตีกลอง ตีขันดัง ๆ เรียกคนมาช่วยกัน"

แนนยืนฟังอยู่เงียบ ๆ ใจหนึ่งก็กลัว อีกใจก็อยากรู้
สิ่งที่เธอเห็นเมื่อคืน... มันเป็นคนจริง ๆ หรือเป็นผีตามที่ชาวบ้านว่า

คืนนั้น เธอตัดสินใจ... จะไปดูอีกครั้ง
เพื่อหาความจริง ว่ากระหัง... มันมีอยู่จริงหรือไม่

หลังคืนที่แนนเห็นลุงเพียรบินหายไปกับตา เธอก็นอนไม่หลับทั้งคืน
เช้าขึ้นมา แม่มาลีเห็นหน้าลูกซีดก็ถามว่า
“เป็นหยังลูก ทำหน้าตาเหมือนคนเห็นผี”
แนนลังเลอยู่พักใหญ่ ก่อนจะตอบเบา ๆ
“แม่... หนูว่าหนูเห็นลุงเพียร... เขาบินจริง ๆ”

แม่สะดุ้ง เธอพนมมือขึ้นทันที
“อย่าพูดเสียงดังลูก ของพวกนี้มันไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ”

แต่ไม่กี่วันต่อมา ข่าวลือเรื่องกระหังในหมู่บ้านก็เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ
บางคนว่ามันมาดูดเลือดไก่ บางคนว่ามันบินผ่านหลังคาบ้านตัวเอง
ตอนกลางคืนเสียงวืด ๆ ก็กลับมาอีก

วันนั้นผู้ใหญ่จันทร์เรียกชาวบ้านมาประชุมที่วัด
ทุกคนมานั่งล้อมวงหน้าศาลา เสียงพึมพำดังไม่หยุด
ผู้ใหญ่พูดเสียงดัง
“ของแบบนี้มันไม่ธรรมดาแน่ ต้องมีคนใช้เวทดำ หรือของต่ำในหมู่บ้านเราแน่ ๆ”
แล้วสายตาหลายคู่ก็หันไปทางเดียวกัน... บ้านลุงเพียร

คืนนั้นแนนได้ยินว่าตาเผือก หมอผีเก่าที่เคยอยู่หมู่บ้านนี้เมื่อหลายปีก่อน กลับมาเยี่ยมญาติ
เธอเลยแอบไปหาตาเผือกตอนหัวค่ำ
ตาเผือกเป็นคนแก่ตาแดง ผิวดำคล้ำ มือถือไม้เท้าไม้ไผ่
พอแนนเล่าเรื่องที่เห็น ตาเผือกพยักหน้าเบา ๆ แล้วพูดเสียงแหบ
“อืม... ข้ารู้แล้ว ลุงเพียร... มันเล่นของจริง”

แนนถามกลับ “ของจริง? ของอะไรตา?”
ตาเผือกถอนหายใจ
“มันเรียก ‘เวทกระหัง’ ลูกเอ๊ย... ของพรรค์นี้มันไม่ใช่ของใหม่ ลุงเพียรเคยเป็นศิษย์สำนักข้าเองเมื่อก่อนนี้
แกเรียนเวทเพื่อช่วยเมียที่ป่วยหนัก แต่ไปทำผิดครู ใช้ของสกปรก บูชาของไม่บริสุทธิ์
ครูแกเลยสาปไว้ ว่าถ้าใช้เวทผิดศีลเมื่อใด จะกลายเป็นกระหังทั้งเป็น ต้องบินหากินตอนกลางคืนไปจนตาย”

แนนฟังแล้วขนลุกทั้งตัว
“แล้วไม่มีทางช่วยเหรอตา?”
“มีสิ แต่ต้องยอมสละของทั้งหมด คืนให้ผีที่คุ้มครองเวทนั่นก่อน”
“แล้วลุงเพียรจะยอมไหม?”
“นั่นสิ...” ตาเผือกพูดพลางมองออกไปทางทุ่งนา “คนที่หลงเวท มักไม่ยอมง่าย ๆ”

วันต่อมา ชาวบ้านตื่นเช้ามาอีกที ก็เห็นซากไก่กระจายเต็มพื้น ขนปลิวว่อน
เด็กบางคนบอกว่าเห็นเงาดำ ๆ เกาะอยู่บนยอดต้นตาล
เสียงคนเริ่มโวยวายหนักขึ้น

คืนนั้น ผู้ใหญ่จันทร์กับชาวบ้านเตรียมจะ “ล่ากระหัง”
พวกเขาพกมีด พกไฟคบ วิ่งตะโกนกันทั่วหมู่บ้าน
“ถ้ามันบินมา ให้ส่องไฟใส่หัวมัน แล้วตีให้ตาย!”

แนนแอบหลบอยู่หลังยุ้งข้าว มองเห็นกลุ่มชาวบ้านกำลังมุ่งหน้าไปทางบ้านลุงเพียร
เสียงหมาเห่ากระหึ่ม ฟ้าครื้ม ๆ เหมือนฝนจะตก

ลุงเพียรเปิดประตูออกมา เห็นชาวบ้านถือคบเพลิงอยู่เต็มลาน
เขาพูดเสียงแหบ
“ข้าบอกแล้ว... ข้าไม่ได้อยากทำร้ายใคร”
แต่ผู้ใหญ่จันทร์ตะโกน
“ของอย่างเอ็ง มันไม่ใช่คนแล้วเพียร เอ็งต้องหยุดซะก่อนที่หมู่บ้านจะฉิบหาย!”

ลุงเพียรชูหม้อขึ้น แสงไฟในมือสว่างจ้า ลมพัดแรงจนคบเพลิงดับพรึ่บ
เสียงปีกวืด ๆ ดังสนั่น
“แนน... หนีไป...” เขาตะโกนขึ้นสุดเสียง ก่อนร่างนั้นจะลอยขึ้นสูงเหนือทุ่ง

คบเพลิงที่ยังสว่างอยู่สะท้อนให้เห็นเงาปีกใหญ่ดำทะมึน แสงฟ้าแลบฉายให้เห็นร่างคล้ายคนครึ่งนก
เสียงคนกรีดร้องดังทั่ว

แนนยกมือปิดปาก น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว
เธอรู้แล้ว... ลุงเพียรไม่ได้อยากเป็นแบบนี้
เขาเป็นคนที่ถูกคำสาป และกำลังหนีจากชะตาของตัวเอง

คืนนั้นฝนตกหนัก
แต่ไม่มีใครกล้าออกจากบ้านอีกเลย

เหลือเพียงเสียงวืด ๆ ดังห่าง ๆ จากท้องฟ้า... เหมือนเสียงปีกกำลังลอยวนอยู่เหนือหมู่บ้าน

สามคืนหลังจากเหตุการณ์นั้น หมู่บ้านโพธิ์ทองก็เงียบผิดปกติ
ไม่มีเสียงไก่ขัน ไม่มีเสียงหมาเห่า
ชาวบ้านพากันเก็บตัวในบ้าน ไม่กล้าแม้แต่จะพูดชื่อ “ลุงเพียร”

แนนเองก็ไม่เป็นอันกินอันนอน
ในหัวเธอยังวนเวียนกับภาพคืนนั้นที่ลุงเพียรลอยขึ้นฟ้า แล้วหายไปในพายุฝน
เธอฝันทุกคืน เห็นลุงเพียรยืนอยู่ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ ร่างเต็มไปด้วยขนนกดำ
ตาแดงก่ำ แต่พูดด้วยเสียงอ่อนแรง
“ช่วยข้าด้วย... แนน...”

คืนที่สี่... แนนตื่นขึ้นมากลางดึก เพราะได้ยินเสียงเคาะหน้าต่างเบา ๆ
เธอลุกขึ้นไปดู เห็นเพียงเงาคนยืนอยู่ลาง ๆ
พอเปิดประตูออก ก็พบ... ตาเผือก

“ตาเผือก! มายืนทำไมตอนดึก ๆ แบบนี้”
“ตาต้องรีบบอกเอ็ง... ลุงเพียรยังไม่ตาย”

แนนตกใจ
“ฮะ?! หมายความว่ายังไงตา”

ตาเผือกหอบหายใจแรง
“มันยังอยู่ในป่า ข้างต้นโพธิ์ทองใหญ่ ข้าเห็นรอยเวทยังไม่ดับ ข้าจะไปทำพิธีปลดคำสาปคืนนี้ เอ็งจะไปด้วยก็ได้ แต่ต้องไม่กลัว”

แนนไม่ลังเล เธอหยิบตะเกียงแล้วเดินตามตาเผือกไปในความมืด
สองคนเดินฝ่าทุ่งข้าว พอถึงใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ เสียงลมพัดวูบแรง
กลิ่นคาวโชยมา พร้อมเสียงครางเบา ๆ ดังอยู่ไม่ไกล

ที่โคนต้นโพธิ์...
ลุงเพียรนั่งพิงต้นไม้ ร่างเต็มไปด้วยขนนกดำครึ่งตัว ปีกข้างหนึ่งหัก
ในมือยังถือหม้อดินใบนั้นไว้แน่น

แนนวิ่งเข้าไปหา
“ลุงเพียร! หนูจะช่วยลุงเอง!”

ลุงเพียรเงยหน้าช้า ๆ
“หนูอย่ามายุ่งเลย... ข้าเลือกทางนี้เอง”

ตาเผือกวางของลงบนพื้น วาดวงเวทด้วยผงขาว แล้วสวดเบา ๆ
แต่ยังไม่ทันจบพิธี หม้อดินในมือลุงเพียรก็ส่องแสงแรงขึ้นเรื่อย ๆ
ลมพัดวนเหมือนพายุขนาดย่อม
เสียงกระซิบแปลก ๆ ดังรอบตัว

"ข้าจะไม่กลับสู่นรก... ข้ายังต้องอยู่..."

แนนร้องขึ้น
“ตาเผือก! มันเกิดอะไรขึ้น!”
“มีบางอย่างในหม้อนั่น มันไม่ใช่ผีธรรมดา!” ตาเผือกร้องตอบ

จู่ ๆ หม้อแตกดัง เพล้ง!
ไฟสีเขียวพวยพุ่งออกมา กลืนลุงเพียรทั้งตัว
เขาร้องเสียงหลง ก่อนร่างจะลุกเป็นไฟ ปีกกางเต็มที่ บินทะยานขึ้นสู่ฟ้า
ฟ้าผ่าลงมาเปรี้ยงเดียว ทั้งทุ่งสว่างวาบ

แนนล้มลงหมดสติ

...

รุ่งเช้า
ชาวบ้านมาพบเธอนอนอยู่ใต้ต้นโพธิ์
ไม่มีร่างของลุงเพียร มีแต่ขี้เถ้าดำ ๆ กองหนึ่ง
กับหม้อดินแตกละเอียด

ทุกคนคิดว่าจบแล้ว แต่...

สามวันต่อมา มีชาวบ้านแอบเห็นเงาดำ ๆ เดินเข้าบ้านแนนตอนกลางคืน
แม่มาลีวิ่งเข้าไปดู เห็นแนนนั่งอยู่คนเดียว
ดวงตาเธอแดงก่ำ ผมปลิวตามลม แม้ประตูบ้านปิดสนิท
เธอหันมาช้า ๆ แล้วพูดด้วยเสียงเบา ๆ

“แม่... หนูฝันถึงลุงเพียรอีกแล้ว... เขาบอกว่า... ถึงตาหนูสืบต่อแล้ว...”

เสียงวืด... วืด... ดังขึ้นในบ้านทันที
ตะเกียงดับพรึ่บ
เงาปีกดำคู่หนึ่งกางออกกลางห้อง

จบ...