กระสือแห่งท้องทุ่ง

 

กระสือแห่งท้องทุ่ง

เสียงลมพัดหวิวผ่านทุ่งกว้างกลางค่ำคืน

แสงจันทร์สาดลงบนผืนนา เงาของต้นกล้วยโยกไหวเหมือนมีชีวิต
ว่ากันว่า...ทุกหมู่บ้านจะมีเรื่องเล่าที่ไม่มีใครกล้าเล่าตอนกลางคืน
บางเรื่องแค่ฟังก็ขนลุก
บางเรื่อง...มันยังไม่จบ

ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งกลางท้องทุ่งอีสาน
เมื่อถึงคืนเดือนหงาย ชาวบ้านจะเห็นแสงไฟสีแดงลอยต่ำเหนือยอดกล้วย
ใครเห็นก็บอกว่าเป็น “กระสือ”
แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า แสงนั้น...ไม่ใช่ปีศาจ
มันคือคำสาป

และจิตใจของหญิงสาวคนหนึ่ง ที่ยังไม่หลุดพ้นจากกรรมเก่า...


ยามเช้ากลางท้องทุ่ง หมอกบางๆ ลอยเหนือท้องนา เสียงไก่ขันปลุกคนทั้งบ้าน ดาวเรืองตื่นแต่เช้าเหมือนทุกวัน เธอสวมผ้าถุงลายดอก ผ้าขาวม้าพาดบ่า เดินออกไปตักน้ำจากบ่อหน้าบ้าน

“ดาวเรือง เอ็งอย่าลืมไปช่วยแม่ถอนหญ้าที่ไร่นะลูก” เสียงแม่ตะโกนจากในครัว
“จ้าแม่ เดี๋ยวข้าไปเดี๋ยวนี้ละ” ดาวเรืองตอบพร้อมยิ้ม

ไม่นาน คำปัน หนุ่มบ้านข้างๆ หาบน้ำผ่านมา เห็นดาวเรืองก็ยิ้มแฉ่ง
“อ้าว ดาวเรือง ตื่นเช้าจังแท้”
“ก็ต้องตื่นสิ จะให้นอนกินบ้านกินเมืองหรือ”
“นอนก็ไม่ว่า แต่ขอให้นอนฝันถึงข้ากะพอ”
ดาวเรืองหัวเราะ หน้าแดง รีบเดินหนีเข้าหลังบ้าน ส่วนคำปันก็ยืนยิ้มแหยๆ อยู่คนเดียว

ทั้งวันดาวเรืองช่วยแม่ทำไร่ ถอนหญ้า หว่านข้าว เสียงลมพัดผ่านทุ่งดังหวิวๆ กลิ่นหญ้าแห้งลอยคลุ้ง ฟ้าค่อยๆ เปลี่ยนสีเมื่อพระอาทิตย์เริ่มลับเหลี่ยมเขา

ค่ำลง แสงไฟจากบ้านแต่ละหลังเริ่มเปิด ดาวเรืองถือกระบุงออกไปเก็บผักหลังบ้าน เธอเดินลัดไปทางป่ากล้วยที่ชาวบ้านมักเล่าลือว่ามีของอยู่

ตอนนั้นเอง ลมเย็นวาบพัดมา กลิ่นคาวเลือดจางๆ ลอยตามลม ดาวเรืองชะงัก หันมองรอบตัว ป่ากล้วยเงียบจนได้ยินเสียงจิ้งหรีด

เธอกำลังจะเดินกลับ แต่สายตาดันไปเห็นแสงสีแดงลอยอยู่เหนือยอดกล้วย มันไม่ใช่แสงจากตะเกียง แสงนั้นกลมโต ลอยไปช้าๆ เหมือนมีชีวิต

ดาวเรืองเบิกตากว้าง “อะ..อะไรนั่น แสงไฟเหรอ”

เธอก้าวถอยหลัง หัวใจเต้นแรง เสียงหมาในหมู่บ้านเริ่มเห่าโหยหวนพร้อมกันหลายตัว

“โฮ่ง โฮ่ง โฮ่งงง!”

แสงนั้นค่อยๆ เคลื่อนต่ำลงเหมือนมองมาทางเธอ ดาวเรืองวิ่งสุดแรงกลับบ้าน เหงื่อไหลท่วมตัวทั้งที่อากาศเย็น เธอผลักประตูบ้านเข้ามา หอบหายใจแรง

“แม่ แม่เอ๊ย ข้าเห็น... เห็นแสงไฟสีแดงลอยอยู่ในป่ากล้วย!”

แม่หันมามอง สีหน้าเคร่งทันที “อย่าเอ่ยเรื่องนั้นลูก มันไม่ดี ถ้าเป็นจริง...นั่นคือกระสือ”

ดาวเรืองนั่งนิ่ง ใจสั่น มือเย็นเฉียบ เธอหันไปมองนอกหน้าต่าง เห็นแสงสีแดงนั้นยังลอยอยู่ไกลๆ ในความมืด

คืนนั้น ดาวเรืองนอนไม่หลับ เธอรู้สึกเหมือนมีใครมองอยู่ตลอดเวลา
เสียงหมาเห่าอีกครั้งยาวนานกว่าเดิม
และนั่น...คือคืนแรกที่โชคชะตาเริ่มเล่นตลกกับชีวิตของดาวเรือง.


หลังคืนที่เห็นแสงแดงกลางป่ากล้วย ดาวเรืองเริ่มล้มป่วย ตัวร้อนจัด ปวดหัวแทบขาดใจ
แม่พาไปหายายหมื่น หมอผีแก่ที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน

ยายหมื่นจับข้อมือดูชีพจรอยู่พักใหญ่ ก่อนจะพูดเสียงต่ำ
“ร่างมันร้อนผิดธรรมดา...ไม่ใช่แค่ไข้ลูกเอ๊ย มันมีของแปลกอยู่ในตัว”

แม่ดาวเรืองหน้าเสีย “ของแปลกยังไงยายหมื่น”
ยายหมื่นถอนหายใจยาว “ข้าเห็นรอยตรงคอ...เหมือนรอยของแถน คำสาปเก่าที่ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น”

ดาวเรืองพยายามฝืนลืมตา “ของแถน...มันคืออะไรกันยาย”
“มันคือของต้องห้าม เป็นคำสาปของคนที่ไปล่วงเกินของบนฟ้า สายเลือดที่มีของแถนอยู่...ถึงเวลามันจะตื่นเอง”

ดาวเรืองมองยายหมื่นด้วยสายตาหวาดๆ เธอไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรต้องมาเจอเรื่องพิลึกแบบนี้

คืนนั้น ฝนตั้งเค้า ลมแรง เสียงหมาเริ่มเห่าหอนทั่วหมู่บ้าน
ดาวเรืองนอนอยู่บนแคร่ เหงื่อท่วมตัว รู้สึกเหมือนในอกมันร้อนรุ่ม
เธอหิว...หิวแปลกๆ หิวจนทนไม่ไหว

ทันใดนั้น แสงฟ้าแลบสว่างวาบ ดาวเรืองตัวกระตุกแรง
เสียงครืด...ดังเบาๆ จากลำคอ
เลือดหยดแรกไหลลงพื้น

หัวของเธอค่อยๆ หลุดจากร่าง ลอยขึ้นกลางอากาศ เส้นไส้ยาวๆ แดงๆ ลากตามออกมา
ร่างที่เหลือแน่นิ่งอยู่บนแคร่ ส่วนหัวนั้นค่อยๆ ล่องไปทางท้องทุ่ง

หมาเห่าระงม
“โฮ่งง โฮ่งงงงงง!”

ชาวบ้านบางคนตื่นขึ้นมา เห็นแสงแดงลอยผ่านหลังคา
“แม่เอ๊ย...กระสือโว้ย กระสือมันมาแล้ว!”

ในขณะเดียวกัน ยายหมื่นที่กำลังสวดมนต์อยู่ในกระท่อมสะดุ้ง
“ถึงเวลาแล้ว...ของแถนมันตื่นขึ้นจริงๆ”

ดาวเรืองในร่างกระสือล่องลอยกลางทุ่ง แสงเดือนส่องให้เห็นหยดเลือดไหลตามทาง
ในดวงตาของเธอไม่มีความโกรธ ไม่มีความชั่วร้าย มีแต่ความกลัวและสับสน

เธอพยายามจะร้อง แต่เสียงที่ออกมากลับกลายเป็นเสียงครางเบาๆ คล้ายลมพัด

ท้องทุ่งทั้งผืนเย็นยะเยือกลงในค่ำคืนนั้น
และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หมู่บ้านนี้...ก็ไม่เคยเงียบอีกเลย.


ลมเย็นยามค่ำพัดผ่านทุ่งข้าว เสียงหมาเห่าหอนดังสะท้อนทั่วหมู่บ้านอีกคืนหนึ่ง
คำปันนอนกระสับกระส่ายอยู่ในกระท่อม เขาฝันเห็นแสงแดงลอยอยู่เหนือหัว เห็นใบหน้าของดาวเรืองเต็มไปด้วยเลือด
เขาสะดุ้งตื่น เหงื่อแตกพลั่ก หัวใจเต้นแรง

“มันต้องมีอะไรผิดปกติแน่...” เขาพึมพำกับตัวเอง ก่อนตัดสินใจเดินไปบ้านดาวเรืองกลางดึก

เมื่อถึงหน้าบ้าน เขาเห็นประตูแง้มไว้ แสงจันทร์สาดเข้ามาในเรือน เงาร่างของดาวเรืองนอนแน่นิ่งบนแคร่
แต่เหนือร่างนั้น...มีหัวของเธอลอยอยู่จริงๆ
แสงแดงจางๆ จากตาเธอสะท้อนเข้าหน้าคำปัน เขาแทบหยุดหายใจ

ดาวเรืองในร่างกระสือค่อยๆ หันมามอง น้ำตาไหลเป็นสาย
“คำปัน...อย่ากลัวข้าเลย ข้าไม่ได้อยากเป็นแบบนี้...” เสียงเธอสั่นเครือ

คำปันยืนนิ่งอยู่นาน ก่อนพูดเบาๆ
“ข้ากลัว...แต่ข้าไม่อาจทิ้งเจ้าได้หรอกดาวเรือง ต่อให้เจ้ากลายเป็นอะไรก็ตาม”

ดาวเรืองร้องไห้สะอื้นทั้งที่หัวลอยอยู่กลางอากาศ เธอค่อยๆ ล่องกลับเข้าห้อง ร่างของเธอนิ่งรออยู่บนแคร่
เมื่อหัวต่อเข้าร่าง แสงแดงดับลง เธอกลับมาเป็นคนอีกครั้ง

รุ่งเช้า คำปันไปหายายหมื่นด้วยสีหน้าเคร่ง
“ยาย ข้าขอคาถาแก้ของเถอะ ข้าอยากช่วยดาวเรือง”

ยายหมื่นหลับตาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดช้าๆ
“มีวิธีเดียว คือต้องทำพิธี ‘เรียกดวงคืนร่าง’ แต่ของแบบนี้มันต้องใช้แรงชีวิตของคนรักมาช่วย มันไม่ง่ายเลยคำปัน”

คำปันไม่ลังเล “ถึงต้องแลกด้วยชีวิต ข้าก็ยอม”

ระหว่างนั้น ฝั่งผู้ใหญ่จันเริ่มเอะใจเพราะคืนๆ หนึ่ง หมู่บ้านไม่เคยเงียบ เสียงหมาเห่าหอนแทบทุกคืน
“ข้าสงสัยว่ากระสือมันอยู่ในหมู่บ้านเราแล้ว” ผู้ใหญ่จันพูดกับลูกบ้านเสียงดัง
ชาวบ้านเริ่มกลัว ต่างคนต่างถือไม้ ถือคบเพลิง เตรียมล่า

อีคำแพงที่แอบอิจฉาดาวเรืองมานาน แอบได้ยินข่าวคำปันไปหายายหมื่น
เธอยิ้มมุมปาก เดินไปหาผู้ใหญ่จันทันที

“ผู้ใหญ่...ข้ามีเรื่องจะบอก กระสือที่ว่า มันอยู่บ้านดาวเรืองนั่นละ ข้าเห็นกับตา!”

เสียงชาวบ้านแตกตื่นขึ้นทันที ทุกคนเริ่มพูดต่อกันเสียงดัง
“บ้านดาวเรืองเหรอ เอ็งแน่ใจนะคำแพง”
“แน่สิ ข้าเห็นไฟแดงลอยจากหลังบ้านมันเมื่อคืนนี้”

ผู้ใหญ่จันตะโกนสั่ง “คืนนี้เราจะไปล่ามันให้จงได้!”

ตกกลางคืน หมู่บ้านทั้งหมู่ต่างเตรียมคบไฟ ถือหอก ถือไม้
ส่วนคำปันกับยายหมื่นก็เริ่มเตรียมพิธีเรียกดวงอยู่ในกระท่อมท้ายทุ่ง

ดาวเรืองนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวในความมืด
“ข้าไม่ได้อยากฆ่าใคร...ข้าอยากเป็นคนเหมือนเดิม”

ลมพัดวูบ ไฟจากคบเพลิงชาวบ้านเริ่มสว่างขึ้นทั่วทุ่ง
เสียงตะโกนดังขึ้นจากทางไกล
“นั่นไง! แสงแดงมันอยู่ทางบ้านดาวเรือง!”

ดาวเรืองเงยหน้ามองแสงไฟนับสิบที่กำลังเคลื่อนเข้ามา
น้ำตาไหลอาบแก้ม เธอรู้ว่าคืนนี้...ความรักกับความกลัวกำลังจะชนกันกลางเปลวไฟแห่งโชคชะตา.


เสียงหมาเห่าก้องทั่วหมู่บ้านอีกครั้งในคืนนั้น
แสงไฟสีแดงลอยเหนือท้องนา สว่างวาบไปทั่ว
ชาวบ้านพากันคว้าไม้ คบเพลิง หอกแหลน เดินตามเสียงตะโกนของผู้ใหญ่จัน

“อยู่ตรงนั้น! เห็นแสงมันไหม!”

ดาวเรืองในร่างกระสือลอยหนีไปกลางทุ่ง น้ำตาไหลไม่ขาดสาย
เธอไม่ได้อยากหนี แต่ไม่อยากให้ใครเจ็บอีก

คำปันวิ่งสวนออกไปจากหมู่บ้าน เหงื่อท่วมหน้า เขาตะโกนสุดเสียง
“อย่าฆ่าเธอ! อย่าทำร้ายดาวเรือง!”

ผู้ใหญ่จันหันมามองด้วยสีหน้าโกรธ “เอ็งรู้จักมันเหรอคำปัน! กระสือมันฆ่าคน มันไม่ใช่คนแล้ว!”

“ไม่! ดาวเรืองยังเป็นคนอยู่! เธอแค่ต้องคำสาป!”

ขณะนั้น ยายหมื่นเดินถือไม้เท้ามากับตะเกียงในมือ เสียงแหบต่ำเอ่ยขึ้น
“หยุดก่อนทุกคน! อย่าเพิ่งทำบาป!”

ทุกสายตาหันมามองยายหมื่น เธอหันไปมองอีคำแพงที่ยืนอยู่ข้างผู้ใหญ่จัน
“คำแพง...เจ้าจะไม่บอกความจริงหน่อยหรือ”

คำแพงหน้าซีดทันที “ขะ...ข้าไม่รู้เรื่องอะไร”

ยายหมื่นตวัดไม้เท้าใส่พื้นดัง ปัง!
“โกหก! เจ้าคือคนที่ปล่อยของคำสาปใส่ดาวเรือง เพราะริษยาและแค้นที่คำปันไม่เลือกเจ้า!”

เสียงชาวบ้านแตกฮือ บางคนร้องตกใจ บางคนหันไปซุบซิบกันวุ่น

คำแพงถอยหลัง น้ำตาไหล “ข้าแค่...ข้าแค่ไม่อยากเห็นมันมีความสุขกับคำปัน ข้าไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้!”

ผู้ใหญ่จันนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดเสียงต่ำ
“ของมันแรงเกินไปแล้ว ยายหมื่น แก้ได้ไหม”

ยายหมื่นส่ายหน้า “ตอนนี้แก้ได้ทางเดียว...ต้องทำพิธีเรียกดวง ถ้าไม่ทันคืนนี้ ดวงของดาวเรืองจะหายไปตลอดกาล”

ระหว่างนั้น ดาวเรืองในร่างกระสือลอยกลับมาช้าๆ เธอพูดเสียงสั่น
“อย่าทำร้ายคำแพงเลย ข้าขอ...แค่ให้ข้าได้กลับเป็นคน”

ชาวบ้านหลายคนเริ่มร้องไห้ บางคนวางคบเพลิงลง
แต่แล้ว ลมแรงพัดเปลวไฟให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง เปลวไฟสะท้อนบนหน้าคนทุกคนทั้งศรัทธาและความกลัว

คำปันยืนขวางตรงกลางระหว่างหมู่บ้านกับร่างกระสือ
“ถ้าใครจะฆ่าเธอ...ต้องฆ่าข้าก่อน!”

เสียงเงียบไปทั้งทุ่ง เหลือเพียงเสียงลมพัดกับเสียงหมาเห่าแว่วมาแต่ไกล
กลางเปลวไฟคืนนั้น ไม่มีใครรู้เลยว่า รักแท้กับของต้องห้าม มันต่างกันตรงไหน...


ฟ้าสางช้าๆ ลมเช้าพัดแรง พิธีเรียกดวงคืนร่างเริ่มขึ้นที่กระท่อมท้ายทุ่ง
ยายหมื่นนั่งสวดอยู่กลางวงเทียน คำปันถือผ้าขาวพันมือดาวเรืองแน่น
เลือดจากมือทั้งคู่หยดลงกลางขันน้ำมนต์

“เจ้าต้องสละบางสิ่ง เพื่อให้เธอได้คืนร่าง” เสียงยายหมื่นเบาเหมือนลมกระซิบ

คำปันหลับตา น้ำตาไหล “ถ้าต้องแลกด้วยชีวิตข้า...ก็เอาไปเถอะ”

ทันใดนั้น ลมแรงพัดวูบ เทียนดับพร้อมกันหมด ร่างของดาวเรืองสะดุ้งแรง
แสงแดงที่เคยลอยเหนือท้องทุ่งส่องสว่างขึ้นอีกครั้ง ก่อนค่อยๆ จางหายไป

เมื่อทุกอย่างเงียบลง ดาวเรืองฟื้นขึ้นมาพร้อมเสียงสะอื้น
เธอก้มมองคำปันที่นอนนิ่งอยู่ข้างๆ ไม่มีลมหายใจ

“คำปัน...ตื่นสิ อย่าทิ้งข้าไว้คนเดียว”
เธอกอดร่างเขาแน่น ร้องไห้จนหมดแรง

ยายหมื่นเดินมาวางมือบนไหล่เบาๆ
“เขาช่วยเจ้าสำเร็จแล้วลูก เขาส่งดวงของเขาไปแทนของเจ้า”

ดาวเรืองมองฟ้าด้วยน้ำตา “ถ้าชาติหน้ามีจริง ขอให้เราพบกันอีกนะคำปัน”

หลายปีผ่านไป หมู่บ้านกลับมาเงียบสงบ
แต่ทุกคืนเดือนหงาย ชาวบ้านบางคนยังเห็นแสงสีแดงนุ่มนวลลอยอยู่เหนือท้องนา
ไม่มีใครกลัวอีกต่อไป เพราะทุกคนรู้ว่า
นั่นไม่ใช่กระสือ...

แต่มันคือ แสงแห่งรักนิรันดร์ของดาวเรืองกับคำปัน
ที่ยังเฝ้ามองท้องทุ่งนี้...ไม่เคยจากไปไหนเลย.