ชื่อเรื่อง: นางตานีใต้ต้นกล้วย

 

นางตานีใต้ต้นกล้วย

“ในค่ำคืนที่หมอกหนาปกคลุมสวนกล้วยท้ายหมู่บ้าน...
มีบางอย่าง ‘ไม่ยอมหลับใหล’

เขาว่ากันว่า... ใต้ต้นตานีต้นนั้น
เคยมีหญิงสาวผู้หนึ่งถูกสาปให้กลายเป็นเงาแห่งความเศร้า
รอใครบางคน... ที่จะมาปลดปล่อยเธอจากคำสาปนิรันดร์

หลายคนที่ผ่านไป… บางคนได้ยินเสียงร้องเบา ๆ เหมือนเสียงสะอื้นจากใต้ใบกล้วย
บางคนเห็นเงาผู้หญิงในชุดเขียวจ้องมองอยู่เงียบ ๆ

แต่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้...
จนกระทั่ง... มีหญิงสาวคนหนึ่ง
ที่กล้าเผชิญหน้ากับสิ่งลี้ลับใต้ต้นกล้วยนั้น...
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด...”

(หยุดสั้น ๆ แล้วเสียงกระซิบแผ่วเบา)
“เรื่องของ... นางตานีใต้ต้นกล้วย



หมู่บ้านเล็กๆ ปลายทุ่งนา มีบ้านอยู่ไม่กี่หลัง ส่วนใหญ่เป็นชาวสวน ชาวนา ใช้ชีวิตเรียบง่าย
แต่ตรงท้ายหมู่บ้าน มีสวนกล้วยเก่าอยู่ผืนหนึ่ง คนเฒ่าคนแก่เล่ากันมาว่า ที่นั่นมี “ต้นตานีผีสิง”
ใครเดินผ่านตอนดึกๆ มักจะได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้เบาๆ เหมือนสะอื้นอยู่ใต้ต้นกล้วย

บัวแก้ว เป็นสาวชาวบ้านที่อาศัยอยู่ไม่ไกลจากสวนกล้วยนั้น เธอเป็นคนใจดี ขยัน ชอบช่วยคนอื่น
ทุกเย็นหลังจากกลับจากนา เธอมักจะเดินไปตักน้ำที่บ่อหลังวัด ซึ่งต้องผ่านสวนกล้วยพอดี
ตอนกลางวันก็ไม่มีอะไร แต่พอตกค่ำ ลมเย็นพัดมา เสียงใบกล้วยเสียดสีกันดังกราวๆ ฟังแล้วขนลุกยังไงบอกไม่ถูก

คืนหนึ่ง บัวแก้วนอนไม่หลับ ได้ยินเสียงคล้ายคนร้องเบาๆ ลอยมาจากหลังบ้าน
ตอนแรกเธอคิดว่าอาจเป็นเสียงแมว หรือไม่ก็เสียงลม แต่ฟังดีๆ มันเหมือนเสียงผู้หญิงจริงๆ
เธอเลยหยิบตะเกียง เดินตามเสียงไปทางสวนกล้วย

ลมพัดเอื่อยๆ ใบกล้วยไหวพรึ่บๆ เงาดำทาบบนพื้นเหมือนมีคนยืนอยู่
บัวแก้วเริ่มกลัว แต่ก็ยังเดินต่อ มือสั่นนิดๆ แต่ใจอยากรู้ว่ามันคืออะไร
พอถึงใต้ต้นกล้วยต้นใหญ่ เธอก็เห็นเงาร่างผู้หญิงคนหนึ่ง ยืนพิงลำต้น ผมยาวถึงเอว ใส่ผ้าสีเขียวซีดๆ
หน้าเธอขาวคล้ำ ดวงตาเศร้า เหมือนคนร้องไห้มานาน

เสียงนั้นพูดขึ้นเบาๆ
“อย่ากลัวเลย... ข้าไม่ทำร้ายใคร ข้าแค่... เหงา”

บัวแก้วยืนนิ่ง หัวใจเต้นแรง แต่พอได้ยินน้ำเสียงนั้น กลับรู้สึกสงสารมากกว่ากลัว
เธอกลั้นใจถามว่า “เอ็ง... เป็นใครกันแน่ ทำไมมาร้องอยู่ใต้ต้นกล้วย”

หญิงสาวยิ้มจางๆ แล้วพูด
“ข้าคือวิญญาณของหญิงคนหนึ่ง ที่ถูกสาปให้อยู่ในต้นตานี ข้าเคยช่วยชาวบ้าน แต่ไม่มีใครจำข้าได้อีกแล้ว...”

บัวแก้วได้ยินแบบนั้น ใจหายวาบ
เธอเลยพูดขึ้นว่า “ถ้าเอ็งไม่ได้คิดร้าย ข้าจะช่วยเอง ข้าจะหาทางให้เอ็งไปผุดไปเกิด”

หญิงสาวยกมือขึ้นพนม ยิ้มทั้งน้ำตา
“ขอบใจนะ... คนดี ข้าจะรอวันนั้น”

หลังจากคืนนั้น บัวแก้วก็เริ่มฝันเห็นหญิงในชุดเขียวบ่อยขึ้น
บางคืน แม่กล้วยจะมายืนยิ้มอยู่ปลายเตียง เหมือนอยากจะพูดอะไรแต่พูดไม่ได้
และนั่น... คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด


ตั้งแต่วันที่บัวแก้วเจอแม่กล้วย ชีวิตเธอก็เปลี่ยนไปนิดหน่อย
ทุกคืนเธอมักจะฝันเห็นหญิงในชุดเขียวมายืนยิ้มอยู่ปลายเตียง
บางคืนก็ได้ยินเสียงเหมือนคนเรียกชื่อเธอเบาๆ
แต่บัวแก้วไม่กลัว เพราะรู้ว่าแม่กล้วยไม่ได้คิดร้าย

แต่เรื่องแบบนี้มันก็หนีคำคนไม่พ้น
ชาวบ้านเริ่มซุบซิบกันว่า บัวแก้วคุยกับผี
บางคนก็ว่าเธอเพี้ยน บางคนก็ว่าเธอโดนของ
โดยเฉพาะไอ้ชิด หนุ่มบ้านข้างๆ ที่ชอบพูดจาเสียงดัง
มันหัวเราะเยาะบัวแก้วทุกครั้งที่เห็น

วันหนึ่งที่ตลาด ไอ้ชิดพูดขึ้นเสียงดังให้คนได้ยินกันทั้งตลาด
“ผีที่ไหนจะมาคุยกับคนกันวะ ต้นกล้วยก็แค่ต้นไม้
จะกลัวอะไรกันนักหนา ถ้าแน่จริง ข้าจะไปตัดมันให้ดู!”

ชาวบ้านพากันห้าม บอกว่าอย่าทำ มันไม่ดี
แต่ไอ้ชิดกลับยิ่งหัวเราะ “ผีถ้ามีจริง ข้าขอเห็นกับตาเลย!”

คืนนั้นแสงจันทร์ส่องลอดเมฆลงมาจางๆ
ไอ้ชิดถือมีดพร้าแอบเดินเข้าไปในสวนกล้วย
เสียงหมาเห่าหอนอยู่ไกลๆ ลมพัดเบาๆ แต่บรรยากาศมันเย็นวูบผิดปกติ

มันเดินไปถึงต้นกล้วยต้นใหญ่ที่ว่ากันว่าแม่กล้วยสิงอยู่
พอเงื้อมือจะฟัน เสียงผู้หญิงร้องขึ้นเบาๆ
“อย่าทำเลย...”

ไอ้ชิดชะงัก หันซ้ายหันขวา มองไปก็ไม่มีใคร
มันพึมพำกับตัวเอง “เสียงอะไรวะ... ใครมาแกล้งข้าวะ”
แต่พอจะยกพร้าขึ้นอีกครั้ง เสียงนั้นก็ดังขึ้นอีก
“อย่าทำเลย... ที่นี่คือที่ของข้า”

ลมพัดแรงขึ้นทันที ใบกล้วยไหวพรึ่บๆ เหมือนมีคนหลายคนอยู่รอบๆ
ไอ้ชิดตกใจจนมือสั่น เงยหน้าขึ้นก็เห็นหญิงสาวในชุดเขียวซีดๆ ยืนมองอยู่ใต้ต้นกล้วย
ผมยาวปลิวตามลม หน้าขาวซีด ดวงตาเศร้าแต่แฝงความโกรธ

“เจ้าลบหลู่ข้า... ทั้งที่ข้าไม่เคยทำร้ายใคร” เสียงนั้นพูดแผ่วเบา
ไอ้ชิดร้องลั่น วิ่งหนีสุดชีวิตจนสะดุดล้มตรงทางเดิน
ตั้งแต่นั้นมันก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย

วันต่อมา ไอ้ชิดไข้ขึ้นตัวสั่น พูดจาเพ้อคลั่ง บางทีก็ร้องว่า
“อย่ามองข้า อย่ามองข้า...”
หมอพื้นบ้านมาดูก็ไม่หาย ชาวบ้านเลยไปขอให้หลวงตาทองช่วยดู

หลวงตาทองนั่งหลับตาอยู่พักหนึ่งก่อนพูดขึ้นว่า
“ไอ้ชิดมันลบหลู่ของแรง วิญญาณเขาไม่ได้ทำร้ายเพราะโกรธ
แต่เขาต้องการให้เจ้าขอขมาด้วยใจจริงเท่านั้น ถึงจะหาย”

บัวแก้วได้ยินก็รีบอาสาไปขอขมาแทน
แต่หลวงตาทองส่ายหน้า “ของแบบนี้ คนที่ทำต้องไปเอง ถึงจะได้ผล”

คืนต่อมา หลวงตาทองจึงนัดบัวแก้วให้พาไอ้ชิดไปที่สวนกล้วยอีกครั้ง
เสียงลมคราวนี้เบากว่าครั้งก่อน แต่ความรู้สึกแปลกๆ ยังคงอยู่
ไม่มีใครรู้ว่า... คืนนั้นจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น


คืนนั้นทั้งหมู่บ้านเงียบกว่าทุกคืน ลมไม่พัด เสียงหมาก็ไม่เห่า
มีเพียงเสียงจักจั่นร้องอยู่ไกลๆ กับกลิ่นดินชื้นๆ ลอยมาแตะจมูก
บัวแก้วจุดตะเกียงเดินนำ หลวงตาทองถือสายสิญจน์ ส่วนไอ้ชิดเดินตามหลัง หน้าซีดเหมือนคนหมดแรง

พอถึงสวนกล้วย ทั้งสามหยุดอยู่หน้าต้นตานีต้นใหญ่
ใบกล้วยไหวแผ่วๆ เหมือนรู้ว่ามีคนมา
หลวงตาทองวางสายสิญจน์ล้อมไว้ แล้วพูดเสียงเรียบ
“ไอ้ชิด... เจ้าต้องพูดจากใจ อย่ากลัว อย่าหนี”

ไอ้ชิดคุกเข่าลง ดินเย็นจับฝ่าเท้า มันสั่นไปทั้งตัว
เสียงมันสั่นเครือ “ผม... ผมขอโทษ ผมพูดจาลบหลู่ ผมไม่รู้ ผมขออโหสิกรรมด้วยเถิด”

ทันใดนั้น ลมพัดวูบใหญ่ ใบกล้วยไหวพรึ่บเหมือนพายุ
เปลวไฟจากตะเกียงโยกไปมา เงาของต้นกล้วยสั่นเหมือนมีคนหลายคนยืนอยู่รายรอบ
เสียงผู้หญิงดังขึ้นเบาๆ “เจ้าพูดจริงหรือ...”

บัวแก้วหันไป เห็นร่างแม่กล้วยค่อยๆ ปรากฏขึ้นกลางเงาแสง
เธอสวมชุดสีเขียวอ่อน ผมปลิวตามลม ดวงตาเศร้าแต่ดูอ่อนโยนกว่าเดิม
ไอ้ชิดพนมมือ ร้องไห้ออกมาไม่อายใคร “จริงขอรับ ข้าขอโทษจริงๆ ข้าผิดไปแล้ว”

แม่กล้วยมองอยู่นาน ก่อนพูดเสียงอ่อน “ข้าให้อภัยเจ้า... ขอเพียงอย่าลืมความดี อย่าลืมคำคืนนี้”

ทันใดนั้น แสงสีทองนวลๆ ส่องออกมาจากลำต้นกล้วย
เสียงเหมือนสายลมพัดผ่านปีกผีเสื้อ เงาร่างของแม่กล้วยค่อยๆ ละลายเป็นละอองแสง ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า
ใบกล้วยพลิ้วเบาๆ แล้วสงบลง

หลวงตาทองหลับตาพนมมือ “เขาไปสู่สุคติแล้ว... วิญญาณนี้หลุดพ้นแล้ว”

บัวแก้วยืนมอง น้ำตาคลอ เหมือนเห็นใครสักคนได้กลับบ้าน
ส่วนไอ้ชิดนั่งนิ่ง น้ำตาไหลเงียบๆ เหมือนยกภูเขาออกจากอก

รุ่งเช้า แสงแดดอุ่นๆ ส่องเข้ามาในสวนกล้วย
กล้วยต้นนั้นออกเครือใหญ่ สวยกว่าทุกต้นในสวน
ชาวบ้านที่เคยกลัว ต่างพากันมากราบไหว้ขอขมา
บัวแก้วกับไอ้ชิดช่วยกันตั้งศาลไม้เล็กๆ ไว้ใต้ต้นกล้วย
ปักธูปหนึ่งดอก แล้วบอกเบาๆ

“แม่กล้วย... ไปดีเถอะ เดี๋ยวเราจะดูแลที่ตรงนี้ให้เอง”

เสียงลมพัดเอื่อยๆ เหมือนใครบางคนตอบกลับ
แผ่วเบา แต่ชัดเจนในใจทุกคน

หลังจากนั้น หมู่บ้านก็สงบ ไม่มีใครได้ยินเสียงร้องไห้อีกเลย
มีแต่เสียงลมพัดใบกล้วยไหว เหมือนเสียงคนยิ้ม...
เบาๆ... แล้วจางหายไปในแสงเช้า